Sunday, January 28, 2007

เสรีภาพที่เลือกไมได้

ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ฝืนสังขารตัวเองนั่งรถไฟใต้ดินมาท่าเรือ South Ferry แต่เช้าเพื่อร่วมสังฆกรรมกับบรรดานักท่องเที่ยวผู้มีจริตตรงกันคืออยากจะไปหาคุณเทพีเสรีภาพ(ใจจะขาด)แถวยาวยังพอทน ลมหนาวพอรับได้ แต่ไอ้มาตรการรักษาความปลอดภัยนี่สิเหลือรับประทาน

นอกจากจะต้องถอดเสื้อผ้าที่ประโคมโถมทับจนเหมือนแพนด้า รองเท้าที่ต้องเสือกไสเข้าเครื่องสแกนอาวุธ อุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ซึ่งต้องย้ายออกมาแสดงตัว ปลิ้นกระเป๋าทั้งหลายให้คลายเศษเหรียญทั้งหมด ยังต้องยืนท่าวิตรูเวี่ยนแมนให้หน่วยรักษาความปลอดภัยลากถูหาอาวุธที่คาดว่าจะหลบซ่อนอยู่ใต้ผืนผ้าแบบบางและ/หรือแฝงฟังอยู่ใต้ผิวหนังประหนึ่งหลุดออกมาจากโรงเรียน X-MEN เพียงเพราะไม่ได้ถอดเข็มขัดหัวโลหะขนาด 1 ตารางนิ้วที่เครื่องสแกนบ้าจี้เปล่งเสียงร้องดังเหมือนฉันไปปล้นชาติใครเขามา

เป็นเรื่องน่าปวดหัวหากคิดจะเที่ยวอเมริกาในโมงยามนี้ เพราะการก่อการร้ายกำลังทำให้ชาติที่ยิ่งใหญ่เกิดปริวิตกไปทุกหย่อมหญ้า ทุกคนคือศัตรูจนกว่าจะพรู๊ฟว่าไม่ใช่ มาตรการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวดจึงถูกนำเข้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยว,พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ราชการ ซึ่งไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องยอมศิโรราบโดยดุษฎี

จากฝั่ง Manhattan ฉันยังคงต้องฝ่าฟันด่าน 18 อรหันต์อีก 2 ด่านกว่าจะเข้าไปถึงฐานรากของแม่นางซึ่งตอนนี้ได้ปิดทางขึ้นไปยังจุดยอด นึกแล้วน่าเห็นใจแม้จะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องเสรีภาพแต่มาบัดนี้ทุกคนดูเหมือนต้องยอมสละเสรี(บ้าง)เพื่อให้สอดรับกับความเลวร้ายของยุคสมัยนี้

เทพีเสรีภาพ(Statue of Liberty)สร้างโดยนักปั้นมือทองชาวฝรั่งเศส Frederic Auguste Bartholdi เพื่อเฉลิมฉลองความเป็นชาติของอเมริกา โดยมีสถาปนิกระดับโลก Alexandre Gustave Eiffel ทำการออกแบบโครงสร้างภายใต้ร่มผ้าซึ่งทำจากแผ่นทองแดงหลายร้อยตารางเมตรมาต่อกัน เริ่มสร้างในปารีสจากการเรี่ยไรเงิน สำเร็จเมื่อปี 1884 ขนมาประกอบกันอีกครั้งใน นิวยอร์ค เมื่อปี 1885 บนฐานที่สร้างจากการออกแบบของสถาปนิกชาวอเมริกัน
ว่ากันว่าเธอถูกส่งมาในรูปชิ้นส่วนถึง 350 ชิ้น ใช้เวลาในการประกอบ 4 เดือน เปิดให้สาธารณชนชื่นชมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1886 และชื่อเสียงของเธอก็ดังกระฉ่อนโลกนับจากนั้น

ภายใต้ฐานคือห้องจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา อธิบายขั้นตอนการก่อสร้างตั้งแต่การออกแบบ,คำนวณโครงสร้าง,เงินลงทุน,รายละเอียดของส่วนต่างๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเธอ นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นจำลองใบหน้าและเท้าขนาดเท่าของจริงให้ดูอีกด้วย ฉันไม่สามารถละเลียดชมได้นานเท่าใจอยากเพราะบ่ายนี้มีนัดดูละครบอร์ดเวย์

IMG_1244

วณิพกกับเครื่องดนตรีสุดเดิ้นคือหม้อทรงกระบอกกดด้านในให้เป็นหลุมขนาดต่างๆแล้วใช้ไม้เคาะเกิดเป็นเสียงสูงต่ำผสมเป็นทำนอง

IMG_1246

IMG_1247

Manhattan มุมกว้าง(ไม่มาก)

IMG_1257

เทพีเสรีภาพเมื่อมองจากเรือเฟอร์รี่

IMG_1263

Manhattan มุมกว้างมองจากเกาะลิเบอร์ตี

IMG_1270

คบเพลิงขนาดเท่าของจริง

IMG_1271

ใบหน้าของเธอ ว่ากันว่าเลียนแบบหน้าตามาจากมารดาของช่างปั้น

IMG_1287

เทพีเสรีภาพจากมุมแหงน
------------------------------------------------------------

เราวิ่งหอบจากท่าเรือไปยังสถานีรถไฟใต้ดินจับรถด่วนขึ้นไปแถว Time Square และวิ่งต่อไปยังโรงละคร Phantom of The Opera จัดการเรื่องตั๋วเรียบร้อยและเดินตามพนักงานไปยังที่นั่งบริเวณชั้นสอง ละครเริ่มได้สัก 5 นาทีแล้ว รู้สึกอายเวลาเดินผ่านฝูงชนที่เขานั่งชมอยู่ก่อน คราวหน้า(ถ้ามีโอกาสได้มาดูอีก)จะรักษาเวลาอย่างดีขอสาบาน

เนื้อเรื่องฟังไม่ค่อยออก แต่การจัดองค์ประกอบบนเวทีและความสามารถของนักแสดงรวมทั้งพลังเสียงในการร้องเพลงเป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ฉากเปลี่ยนได้อย่างเริ่ดดีกว่าการตัดต่อภาพของหนังไทยบางเรื่องเสียอีก นึกแล้วโคตรเสียดายที่ไม่มีละครเวทีดีๆในประเทศไทย อาจเป็นเพราะความไม่นิยมในศิลปะแขนงนี้หรือไม่ก็ไม่นิยมศิลปะอะไรเลย ประเทศที่รุ่มรวยอารยธรรม(อย่างประเทศไทย)จึงหาโขนละครดู ชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะงามๆ หรือฟังดนตรีไทยได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

แบบนี้จะสร้างกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมาทำไมจริงมะ

IMG_1293

หน้าโรงละครยามเย็น

IMG_1296

IMG_1299

IMG_1300

Time Square

IMG_1305

IMG_1303

IMG_1307

จบข่าว

Friday, January 26, 2007

MEET MET

เพราะตื่นสายเลยทำให้เราไม่สามารถทนหนาวต่อแถวยาวเป็นกิโลเพื่อขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะลิเบอร์ตี้(Liberty Island) ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานคุณเทพีเสรีภาพได้ เราจึงเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวท่าเรือและแอบเก็บภาพจากระยะไกล ครั้นจะไม่สนใจเลยก็ใช่ที่ อุตส่าห์มานิวยอร์คทั้งที เลยตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะแหกขี้ตาตื่นมันตั้งแต่เช้าเพื่อรับประกันความเสี่ยงต่อการพลาดไปเยี่ยมชมคุณเธอ

จากท่าเรือเรานั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่ Ground Zero อดีตคือตำแหน่งตึกแฝด "World trade center"ซึ่งโดนเครื่องบินบินชนจนล้มราบเป็นหน้ากลองเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ครั้งนั้นเกิดความรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ได้ขึ้นไปบนยอดตึกมากกว่าเกิดอารมณ์สงสารนิวยอร์คเกอร์ที่เสียชีวิตหลายพัน แต่พอได้มาสัมผัสบรรยากาศและได้มาเห็นเด็กน้อยหลายคนขูดลอกรายชื่อบนกำแพงแห่งความทรงจำเพื่อรำลึกถึง"ฮีโร่"ของพวกเขาคือพนักงานจากหน่วยผจญเพลิงซึ่งทำหน้าที่อพยพผู้คนภายในตึกจนสูญหายแทบจะสิ้นกรมกอง ความรู้สึกเสียดายพลันหายไปเหลือแต่ความสลดใจและเกิดอารมณ์ร่วมไปโดยปริยาย

IMG_1182

IMG_1183

IMG_1184

"ความเป็นอื่น"ก็คือความรู้สึกเพียงแต่สามารถก่อให้เกิดการไม่ยอมรับและทำความเข้าใจกับใครก็ตามที่อยู่นอกเหนือจากวงโคจรของเรา ฉันว่ามันเป็นตัวการสำคัญอย่างน้อยก็หนึ่งอย่างที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆขึ้นทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นปัญหาสงครามและการก่อการร้ายซึ่งพยายามเอาความแตกต่างทางศาสนาและชาติพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้อง,การเหยียดผิว,ความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้นแรงงานและชนชั้นกลางที่อยู่ในเมือง ฯลฯ

เมื่อไม่นานมานี้มีนักธุรกิจหญิงอเมริกันเชื้อสายอิหร่านคนหนึ่งขึ้นไปทัวร์ในเอกภพเพื่อมองโลกจากมุมที่น้อยคนนักจะได้เห็น เธอให้สัมภาษน์หลังจากกลับลงมาอย่างปลอดภัยว่าโลกที่เธอเห็นคือลูกกลมๆสีน้ำเงิน-ฟ้าเพียงหนึ่งเดียวหาได้มีความแตกต่างอันใดไม่! นี่คือความจริงที่น้อยคนนักจะนึกถึงหากเรามองโลกให้กว้างขึ้นความสำคัญของตัวเราก็จะเล็กลงเรื่อยๆจนแทบจะเป็นศูนย์และวันใดที่เราขยับเข้าใกล้กันและมองโลกจากมุมมองที่เหมือนกันเราจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่เคยคิดว่าเขาคือพวกเรามากขึ้น เหมือนเช่นฉันในวันนี้

ตกบ่ายเรามีนัดกันที่ MET หรือ Metropolitant Museum of Art พิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานศิลป์ชั้นยอดจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะ Egyptian Art ซึ่งฉันสงสัยว่าหากนับรวม collection ทั้งหมดที่จัดแสดงในสามพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ คือ MET,British Museum และ Musee du lourve จะเหลือสักกี่ชิ้นที่อยู่ในอียิปต์จริงๆ

IMG_1203

IMG_1206

เครื่องประดับรูปสัตว์ มีฮิปโป,เหยี่ยว เป็นต้น
ในอดีตชาวอียิปต์โบราณมักจะใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์แทนเทพพระเจ้า เพื่ออธิบายสิ่งเร้นลับเหนือความสามารถของมนุษย์(ยุคนั้น)จะเข้าใจ

IMG_1205

IMG_1204

อีกส่วนของ collection

IMG_1207

IMG_1213

IMG_1211

Temple of Dendur วัดแท้ๆอิมพอร์ตจากอียิปต์ เป็นของกำนัลที่รัฐบาลอียิปต์มอบให้รัฐบาลอเมริกันในฐานะที่เข้าไปช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์ รื้อมาสร้างใหม่ในส่วนจัดแสดงโดยเฉพาะ

IMG_1216

รูปสุดท้ายเป็น Buddhist Art ศิลปะจากประเทศจีน
หากพูดถึงศาสนาพุทธ ในความรับรู้ของชาวต่างชาติมักจะเห็นภาพของ ทะไล ลามะ ซึ่งเป็นพุทธแบบวัชรยาน หรือไม่ก็เป็นพุทธมหายานทางฝั่งเอเชียตะวันออก มีส่วนน้อยที่กล่าวถึงพุทธแบบหินยานซึ่งจะกลายเป็นข้อถกเถียงทางด้านปรัชญาเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นตามพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆระดับโลกจึงจัดนิทรรศการและจัดแสดงงานศิลป์ที่เกี่ยวเนื่องในสองทางแรก ดังจะเห็นได้จากรูปปั้นพระโพธิสัตว์ปางต่างๆ หรือภาพเทพเจ้าที่มีมากมายไม่ต่างไปจากศาสนาฮินดู

พิพิธภัณฑ์ดังๆส่วนใหญ่มักจะทุ่มเทงบประมาณไม่อั้นในการเลือกซื้อหรือเลือกหาผลงานค่าควรเมืองชิ้นเยี่ยมมาจัดประดับตบแต่งเพื่ออัพเกรดตัวเองอยู่ตลอดเวลานัยว่าเป็นการแข่งขันกัน ผลที่ได้ย่อมตกกับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้รับความรู้และอิ่มเอมใจไปกับผลงานเหล่านั้น แต่ในทางกลับกันก็เพิ่มความพยายามเสาะหาให้ได้มาซึ่งอาจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือมีการลักลอบ ขนส่งจากต้นแหล่งเพื่อนำมาจัดแสดง ซึ่งตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดก็คือสังหาริมทรัพย์ของชาวอียิปต์โบราณที่ได้แตกกระซ่านส่านเซ็นไปทั่วทุกมุมโลก แต่สิ่งหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ได้คือการอนุรักษ์และการปกปักรักษาที่ดีกว่าหากเปรียบเทียบกับที่อยู่ในโฮมแลนด์ ได้อย่างเสียอย่างแบบนี้แหละธรรมดาโลก

P.S. รูป manhattan ยามค่ำคืน ถ่ายจากฝั้ง Brooklyn หนาวมากขอบอก

IMG_1219

รูป Ground Zero

IMG_1186

IMG_1185

โบสถ์เก่าในวงล้อมตึกระฟ้า

IMG_1190

โบสถ์หน้า Wall Street

IMG_1193

IMG_1194







Sunday, January 14, 2007

ศิลปะยืนยาวชีวิตสั้น

1 มกรา

ว่าจะออกจาก grand central แต่เช้า พอดีฟ้าฝนไม่เป็นใจทำให้แผนการที่วางเอาไว้รวนไปหมด
เรากลับมานั่งที่เดิมพร้อมกับสั่งอาหารเช้ามากินพลางหาข้อมูลในหนังสือไกด์บุ๊ค ถึงตำแหน่งแห่งที่ที่พวกเราพอจะเข้าไปพักพิงอาศัยได้ กำหนดออกมาเป็นขั้นเป็นตอนเริ่มจาก Public Library และ MoMA 2 แห่งนี้อยู่ไม่ใกล้กันและเปิดช้ากว่ากัน 1 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยความอยากเล่นอินเตอร์เน็ทและหาที่เงียบๆนอนเราจึงเลือกห้องสมุดก่อน ถ้าหากผิดล็อคขึ้นมาค่อยระเห็จไป MoMA คงยังไม่สาย

และก็สมกับที่ตั้งใจไว้เพราะห้องสมุดปิด เรายืนเปียกโชกเป็นลูกหมาตกน้ำหันรีหันขวางควานหาทิศที่จะเดินทางต่อ พลันเกิดไอเดียว่าระหว่างรอ MoMA เปิด ไปนั่งแถว Rockefeller Center กันดีกว่า

MoMA ย่อมาจาก Museum of Modern Art ตอนนี้กลายเป็นคำฮิตและพิพิธภัณฑ์ฮิปๆ ที่ใครมา New York แล้วไม่ควรพลาดมาชม แม้จะมีความรู้เรื่องศิลปะเท่าหางอึ่งอย่างฉันก็เหอะ
เนื่องจากพะยี่ห้อ Modern รูปแบบของพิพิธภัณฑ์ ทั้งตัวอาคารจัดแสดงและนิทรรศการจึงต้อง"เ้ดิร์น"และ"ล้ำ"กว่าชาวบ้านชาวเมืองเขา ที่สำคัญมีคู่แข่งอย่าง Tate Modern ใน London และGeorge Pompidou ใน Paris (ทั้งสามแห่งเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดง Modern Art เหมือนกัน)เพราะฉะนั้นต้องมีการ Upgrade ตัวเองอยู่เสมอ

บรรยากาศภายในค่อนข้างคึกคัก เราเสียเงินคนละ 20 บาทเป็นค่าตั๋วและประกาศแยกทางกัน เนื่องจากการเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่ดีควรจะ"ตัวใครตัวมัน"เพราะคงไม่มีใครมีรสนิยมเหมือนกันไปทั้งหมด หากกระเตงไปกันหลายๆคนอาจเกิดอาการเหม็นเบื่อและคอยกังวลกับความรู้สึกของอีกฝ่ายจนทำให้หมดอารมณ์กันพอดี

ฉันเริ่มดูตั้งแต่ชั้นหนึ่งพร้อมกับ audio guide บรรยายบางผลงานที่สำคัญ และต้องพบกับความประหลาดใจของตัวเองที่ไม่เข้าใจ(จริงๆ)ถึงสิ่งที่ศิลปินต้องการนำเสนอ!
อย่างเช่น
IMG_1166

หากเอาไปแปะไว้ที่บ้านฉันก็คงนึกว่าเป็นแผ่นผ้าใบที่มีคนมือบอนเอาสีมาขีดเขียน แต่อยู่ในนี้กลับมีราคาค่างวดเพราะเป็นเรื่องราวของฤดูทั้งสี่เรียงตามลำดับจาก spring,summer,fall และwinter ผนวกกับพลังจิตวิญญาณของศิลปิน นี่ฉันไม่ได้ยกเมฆขึ้นมาเขียนเองนะเพราะถอดความมาจาก audioguide ที่มีคุณป้าภัณฑารักษ์ให้เสียงในฟิลม์แบบ histirionic มากๆ ประมาณศิลปินเป็นพระผู้เป็นเจ้า เป็นพระมหาไถ่ซะอย่างงั้น

IMG_1164

นี่ก็ผลงานของศิลปินท่านเดิม

IMG_1165

ส่วนอันนี้เป็นรูปธรรมขึ้นมาบ้างเห็นเป็นเสาเหล็กขึ้นสนิม

IMG_1167

IMG_1168

2 รูปนี้ประทับใจที่สุด
เท่าที่เห็นตีความได้ว่า มีกะบะทรายและด้านบนมีแท่งเหล็กข้างหนึ่งสลักเป็นรูปฟันเลื่อยข้างหนึ่งทำให้เรียบ เวลาหมุนลงบนพื้นทรายจะทำให้เกิดรอยคลื่นที่ครึ่งหนึ่งของพื้นผิวสักพักก็จะกลายเป็นพื้นทรายเรียบตึงเหมือนเดิม

ตีความได้ว่า ความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง!!!!!!!!!!!!!!!!
ได้ไอเดียจากการไปเที่ยวทะเล

IMG_1169

IMG_1170

ส่วนนี่เป็นเครื่องใช้ภายในบ้านและสำนักงานที่ผ่านการอัพราคาเพราะการดีไซน์

IMG_1171

IMG_1173

2 รูปนี้เป็นงานกราฟฟิคอาร์ตของศิลปินชื่อดัง คุณ andy warhol รูปที่ 2 คงคุ้นตานะฮะก็ marilyn monroe ไง

IMG_1174

IMG_1175

แต่ที่ประทับใจฉันมากที่สุดคือผลงานเรื่องความมืด ไม่มีอะไรเลย just ห้องขนาดกลางเปิดและปิดไฟเป็นวัฏจักรห่างกัน 5 วินาที ในห้องว่างเปล่า มีคำอธิบายว่า แต่เดิมเวลาเราจัดแสดงงานข้าวของที่เอาออกมาโชว์ทำให้เราดิสแทร็คเด๊ด จากความเป็น"ห้อง" ศิลปินจึงนำความงามของความเป็น"ห้อง"กลับคืนมาให้เราเห็นด้วยการผสานสื่อผสมคือการตั้งวลาเปิด-ปิดไฟ!!!!!!!!!!!!
คิดว่าไงกันบ้าง?
นอกจากนี้ก็มีผ้าใบที่ทาสีน้ำเงินทั้งผืน,ผ้าใบสีน้ำตาลที่มีรอยมีดกรีดตรงกลาง,หลอดนีออนสีชมพูตั้งกลางห้อง,โครงเหล็ก,ธนูที่มีกระต่ายโดนเสียบพร้อมโล่,วอลล์เปเปอร์ลายต่างๆ,ผ้าใบที่มีแรเงาเป็นรูปยึกยือ,ห้องที่ปิดไฟพร้อมกับเปิดบทสวดของศาสนาคริสตร์,พุทธ,อิสลาม และชินโต,รูปตึกเอ็มไพร์สเต็ทที่ตั้งกล้องถ่ายอยู่ 2 วันแล้วเอามาเปิดฉายให้ดูทั้งวันทั้งคืน และ ฯลฯ

"เอ็มพ์ตี้" คือความรู้สึกที่ได้รับหลังจากเยี่ยมชม MoMA ทุกซอกทุกมุมตั้งแต่ชั้นหนึ่งยันชั้นหก ฉับพลันได้เกิดคำถามดังในหัวขึ้นมาทันทีว่าอะไรคือ"ศิลปะ"

ลองนึกย้อนไปสมัยบ้านเชียงที่มีการขุดค้นเครื่องปั้นดินเผาที่มีการพิมพ์ลวดลายลงไปหรือเครื่องประดับจำพวกลูกปัด สังคมระดับนั้นต้องมีความอยู่ดีกินดีระดับหนึ่งถึงมีอารมณ์มานั่งคิดทำของอย่างว่า หากนี่คือศิลปะ นิยามก็น่าจะใกล้เคียงกับการอยู่อย่างมีระดับ เมื่อคนเราหลุดพ้นจากสัญชาตญาณแห่งการดิ้นรนต่อสู้ให้อยู่รอด นั่นแหละความอภิรมย์ในการใช้ชีวิตจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน

นี่เป็นคำอธิบายที่ดีสำหรับสังคมไทยว่าเหตุใดการศึกษาหรืออาชีพทางด้านศิลปะจึงไม่เฟื่องฟูเหมือนประเทศที่เขามีกินมีใช้แล้ว เพราะฉะนั้นจงอย่าหวังว่า bangkok fashion week จะนำความรุ่งเรืองมาสู่พี่น้องชาวสยามประเทศเหมือนที่ตั้งใจกันไว้ ตราบใดที่ยังมีคนจับกบจับเขียดตามถนนหลวงหรือเก็บเห็ดหลังบ้านยามฝนตกหนักเพื่อประทังชีวิต

อีกอย่างคุณค่าของศิลปะไม่น่าจะอยู่ที่ตัวชิ้นงานหรือศิลปินเพราะฟังจากคุณป้าภัณฑารักษ์แล้วฉันว่าอึ่งอ่างโดนสิบล้อทับแบน ก็คงเป็นงานศิลป์ชั้นเลิศของแก

เพราะฉะนั้นไม่ควรจะไปตีตราว่าคนนั้นคนนี้มีรสนิยมหรือไม่เพราะต่างคนก็มีความเห็นและความหมายของการดำเนินชีวิตต่างกัน-จริงไหม

IMG_1158

IMG_1159

บรรยากาศภายในสวนที่จัดแสดงรูปปั้น แวดล้อมไปด้วยตึกเก่าสูงชันสไตล์ New York

Friday, January 12, 2007

Homeless Night

31 ธันวา

เกิดอารมณ์เซ็งขึ้นมาในทันทีเมื่อรู้ว่าโรงแรมระดับดาวครึ่งที่จองไว้ใน New York กำหนดเวลาเช็คอินเอาไว้"ตั้ง"บ่ายสามโมง เพราะนั่นหมายความว่านับจากเย็นนี้เป็นต้นไปเมื่อฉันออกเดินทางจาก DCเพื่อไปร่วมงาน count down ประจำปี ฉันจะไม่มีที่ซุกหัวนอนไปจนถึงวันที่ 1 ตอนเย็น!

เมื่อแรกที่ตัดสินใจเป็น homeless ในวันขึ้นปีใหม่ นอกจากอยากได้ประสบการณ์ระทึก(หลังจากที่เคยทำมาแล้วหนึ่งคืนที่ florence,italy เมื่อ 4ซ้า5ปีก่อน)เหตุผลหลักก็คือเป็นการประหยัดเงินไปในตัวเพราะจากการเช็คราคาค่างวดโรงแรมตั้งแต่ระดับจิ้งหรีดจนถึงระดับกลางที่พอแอ๊ฟฟอร์ดได้ ตกคืนละ ร้อยบาทปลายๆทั้งนั้น(อีกครั้ง บาทคือดอลลาร์-ฉันเอง) อีกอย่างคงมีคนทำเหมือนเราและเข้าใจ(เอาเอง)ว่าคงมีมหรสพสมโภชน์"ปี"กันทั้งคืน แต่พอเอาเข้าจริงก็อดที่จะสมเพชตัวเองไม่ได้เพราะ New York ไม่ใช่อมก๋อย มันค่อนข้างพลุกพล่าน,น่ากลัว และไม่เป็นมิตรในยามค่ำคืน ครั้นพอจะกลับลำหันมาสู้ราคาโรงแรมก็ไม่ทัน เพราะเต็มหมด เลยได้แต่ปลงชีวิตและตั้งใจเอาไว้หากรอดมาได้จะไม่ประพฤติตัวเยี่ยงนี้อีก

เมื่อไม่มีทางเลือกจึงต้องเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี แผนการทั้งหมดถูกระดมออกมาจากมันสมองของเรา(ฉัน,ดีดี้ และ พรสรร)กำหนดวิธีปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอนเริ่มจาก
1.สัมภาระจะเอาไปไว้ไหน?
plan A ต้องแยก survival kit ออกมาก่อนที่เหลือเอาไปฝากโรงแรมที่จองไว้
plan B ถ้ามันไม่ให้ ก็เอาไปฝากพี่คนไทยที่รู้จัก กลุ่มนั้นไปกัน 7 คนแต่จองห้องสำหรับ 2 คน(ไม่รู้ใครเสี่ยงกว่ากัน)
plan C ถ้าfail ทั้ง 2 แผนก็เอาเข้า locker ที่สถานีรถบัสหรือไม่ก็สถานีรถไฟ

2.เราจะไปนั่งเล่นนอนเล่นที่ไหน?เพราะไม่ใช่แค่ 1 คืนยังต้องคำนึงถึงเช้า,สาย,เที่ยง และ บ่ายของวันที่ 1 ด้วย
plan A หาร้านที่เปิดตลอดคืน นั่งในมุมอับ ซื้อของที่ละน้อยแต่บ่อยๆ ไม่ให้น่าเกลียด
plan B หากรอดได้จนถึงตีห้าครึ่งให้มูฟตูดไปนอนที่ grand central หัวลำโพงของ New York

plan C รอให้รอดจาก 2 แผนนั้นก่อนเหอะ

โอเค ค่อยคลายความวิตกกังวลขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ต้องงีบหลับเอาแรงบนรถบัสเพื่อเก็บพลังงานเอาไว้สู้กับความหนาวเหน็บที่จะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ชีวิตคือการต่อสู้แบบนี้ล่ะฮ่ะ

------------------------------------------------------------

เราวิ่งหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินทางใน subway ของ New York ด้วยความยากลำบากเนื่องจากมีรถไฟให้ใช้บริการอยู่หลายสาย ตั้งแต่ AจนถึงZ แถมมี 1,2,3...
อีกด้วย ต้นสายปลายสายก็เขียนแต่เพียง Uptown และ downtown แล้วแต่ว่าเราจะขึ้นเหนือหรือล่องใต้ ชื่อสถานีก็เป็นชื่อถนนซึ่งนับเป็นจำนวนนับ เช่น 5th avenue,66th street ไม่ค่อยมีวิสามัญนามอย่างบ้านเราให้จับสังเกต ขนาดที่ Paris ว่างงแล้วนะ พอเจอ made in New York ตายไปเลย

เราไปถึงโรงแรมเอาเมื่อห้าทุ่มนิดๆ หลังจากบอกจุดประสงค์กับคุณลุงผู้ดูแลว่าจะเอาของมาฝากเนื่องจากจองโรงแรมไว้พรุ่งนี้(แต่วันนี้ไม่มีที่ซุกหัวนอน) คุณลุงดูงงเล็กน้อยแต่ก็ say yes และเก็บค่าเฝ้าสัมภาระใบละ 5 บาท อืืมม...แพงเหมือนกันนะนี่ แต่เอาเหอะดีกว่าต้องแบกไป count down ด้วย

จากโรงแรมเดินลงใต้ซัก 5 นาทีจะถึง columbus circle เป็นอนุสาวรีย์ทรงแท่งเหมือนอนุสาวรีย์ชัยบ้านเรา ข้างหลังมี shopping mall ขนาดใหญ่ ด้านหน้าเป็นถนนที่ตัดตั้งฉากกับถนนที่มุ่งหน้าไปยัง time square ซึ่งเรามายืนใกล้สุดตรงหัวมุมที่ตัดกันนั่นแหละเนื่องจากคุณตำรวจไม่ยอมให้เข้าไปใกล้กว่านั้น

อีก 10 นาทีเที่ยงคืน
ฉันยังคงรอความหวังว่าคุณตำรวจจะปล่อยให้เราเข้าไปเห็นเศษเสี้ยวของ time square แม้จะไกลประมาณ 10 กว่าบล็อคก็เหอะ

อีก 5 นาทีเที่ยงคืน
ยังคงยืนรออยู่ที่เดิม ขณะพิจารณาผู้คนที่ทนเบียดเสียดอยู่รอบข้างดันเกิดดวงตาเห็นธรรมว่ากูจะมาลำบากทำไม ปีใหม่หรือปีเก่ามันก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของเวลาที่เปลี่ยนผ่าน คุณค่าของมันคืออะไรวะ ทำไมต้องโหยหากันขนาดนี้

อีก 4 นาทีเที่ยงคืน
ความสำคัญของปีใหม่สำหรับฉัน
1.เป็นปีที่มักจะมีแผนการใหม่ๆในการดำเนินชีวิตผุดพรายขึ้นมาในศีรษะ ซึ่งที่จริงจะเริ่มทำเลยก็ได้เพียงแต่ต้องทำตอนปีใหม่เพื่อให้มัน"ใหม่" เพื่ออะไรก็ไม่รู้
2.มีวันหยุดยาว โดยเฉพาะสยามประเทศที่มักจะชดเชยแล้วชดเชยอีกเพื่อตอบสนองต่อความอยากของประชาชนที่รักการทำมาหากินเป็นชีวิตจิตใจ แต่พอมาเป็นหมอรู้สึกว่าข้อนี้ไม่น่าสนใจอีกต่อไปเพราะหมอมีชีวิตไม่เหมือนใครอยู่แล้ว
3.เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เพราะตามห้างร้านมักจะลดราคา อากาศจะเย็นลงเล็กน้อยพอให้ปัดฝุ่นเสื้อผ้าคอลเล็คชั่น fall and winter มาใส่อวดกันได้
ของฉันมีอยู่แค่เนี๊ยะ เพียงลำพังคงไม่สามารถกลายเป็นเหตุผลแสดงความชอบธรรมในการจัดงานฉลองบิ๊กๆ ได้แน่ๆ หรือของคนอื่นอาจจะมีมากกว่านั้น หรืออาจจะไม่มีอะไรเลย ก็แค่ just จัดน่ะ จะคิดมากไปทำไม

อีก 1 นาทีเที่ยงคืน
เมื่อ 2 ปีที่แล้วในถนนชองส์ เซลิเซ่ ฉันก็ไปร่วม count down กับเพื่อนมนุษย์หลายแสนคนเช่นกัน หรือว่าความสำคัญของการฉลองปีใหม่คือการเก็บบรรยากาศมาคุยโวให้คนอื่นฟัง

อีก 1/2 นาทีเที่ยงคืน
ฉันหมดหวังกับ time square และสิ้นหวังกับชะตาชีวิตของตัวเอง

10-9-8-7-6-5
โอ้วินาทีแห่งความสุข วินาทีแห่งความหวัง วินาทีแห่งความสดใหม่กำลังมาถึง ฉันยังคงยืนอยู่ท่ามกลางมนุษย์มองไปทางไหนก็ไม่เห็นอะไรนอกจากแขนขาและลำตัว

4-3-2-1-0 กรี๊ด
และแล้วเราก็ผ่านการสำเร็จความใคร่ร่วมกัน เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนหนึ่งวินาที เมื่อโลก,ดวงจันทร์ และ ดวงอาทิตย์ เปลี่ยนองศาการหมุน เมื่อเสียงคนนับล้านเปล่งคำว่าศูนย์พร้อมกัน ดีนะที่ฉันไม่ได้อุ้มท้องกลับมา

ค่าของการนับเลขถอยหลังในช่วงเวลาที่พอเหมาะมันสามารถสร้างรายได้ขนาดเลี้ยงเด็กโซมาเลียได้หนึ่งปีเลยทีเดียว

นี่แหละความสามารถของมนุษย์

IMG_1114

IMG_1116

พลุตะไลไฟพะเนียงที่จุดเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่

IMG_1124

time square หลังจากโดนรุมโทรมด้วยคนนับล้าน

IMG_1137

IMG_1133

รถแมลงสาบ ทั่วทุกมุมถนนมีปาร์ตี้จัดกันสุดเหวี่ยง อยากรู้จริงๆว่าใครนั่งอยู่ในรถนั้น

IMG_1138

bilbord โฆษณาสินค้า

IMG_1142

IMG_1143

IMG_1148

IMG_1136

-----------------------------------------------------------------------

ฝนตกลงมาประปรายเมื่อเราเข้ามานั่งในร้าน cafe duke เหม่อมองออกไปด้านนอกยังไม่เงียบเหงาเท่าไร ผู้คนยังคนเดินเล่นฉลองปีใหม่กันอยู่ ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งครึ่ง ฉันสั่ง hot chocolate กับ สลัดจานใหญ่มากินแก้เขินกะว่าไม่ไล่ก็ไม่ไป ตาก็มองนาฬิกาและภาวนาให้ทุกครั้งที่มองขอให้เข็มสั้นและเข็มยาวพร้อมใจกันเดินไปไกลจากจุดเดิมเพื่อให้ผ่านพ้นค่ำคืนที่แสนน่าเบื่อนี้สักที

เรานั่งเล่นcomputer,คุยกัน,นิ่ง,งง,ง่วงงุน,เบื่อหน่าย,มอง,ร้องเพลง,เซ็ง,หนาว,รอเวลา,ฆ่าเวลา,คิดถึงบ้าน,คิดถึงใครบางคน วนกลับไปกลับมาเป็นร้อยรอบ จนร้านเงียบ,เลิกขาย,เก็บโต๊ะ,กวาดพื้น,ถูพื้น,เช็คสต๊อค,ทำความสะอาด และพนักงานส่งสายตามาให้จับความได้ว่า"นี่พวกมึงไม่คิดจะไปไหนกันรึ"

ตีสี่ครึ่ง เราตัดสินใจหาที่อยู่ใหม่ เดินตากฝนผ่าน 5th avenue,madison avenue ตรงไปยัง grand central ซึ่งวันธรรมดาจะเปิดให้เข้าไปตอนตีห้าครึ่ง เสี่ยงดวงเดินไปด้านหน้า โอ้พระเจ้า เปิดแฮะ มีผู้คนเดินเข้าเดินออกมากมาย เราเลือกลงไปยัง basement ที่ขายอาหาร และตะลึงกับปริมาณ homeless ที่เจอ แหม!มาอยู่กันที่นี่เองปล่อยให้เราเหงาแทบตาย

ฉันเลือกที่นั่งตรงมุมร้าน bakery หมายมั่นว่าจะต้องนอนให้ได้เพราะเหนื่อยมาทั้งคืน แต่การนั่งๆนอนๆบนเบาะสี่เหลี่ยมมุมฉากมันช่างเป็นการทรมานสังขารยิ่งนัก ความพยายามข่มตาหลับเลยเป็นอันตกไป ในใจก็คร่ำครวญคิดถึงเตียงนุ่มๆผ้าห่มหนาๆ วันพรุ่งนี้ฉันจะนอน นอน และก็นอนอย่างเดียวเรื่องเที่ยวช่างมัน

IMG_1150

ของใครก็ไม่รู้

IMG_1152

จบข่าว